Header

ไขข้อข้องใจ: ภาวะลูกป่วยบ่อย โรค RSV และแนวทางการเสริมสร้างภูมิคุ้มกันที่ถูกต้อง

09 ธันวาคม 2568

ไขข้อข้องใจ: ภาวะลูกป่วยบ่อย โรค RSV และแนวทางการเสริมสร้างภูมิคุ้มกันที่ถูกต้อง

1. ภาวะ "ลูกป่วยบ่อย" สัญญาณเตือนภูมิคุ้มกันต่ำจริงหรือ?

ความเข้าใจเบื้องต้น: ความกังวลเมื่อบุตรหลานเจ็บป่วยบ่อยครั้งนั้นเป็นเรื่องปกติของผู้ปกครอง อย่างไรก็ตาม หากเด็กยังมีพัฒนาการทางร่างกาย น้ำหนัก และส่วนสูงเป็นไปตามเกณฑ์มาตรฐาน การเจ็บป่วยทั่วไป (เช่น ไข้หวัด ท้องเสีย หรือผิวหนังอักเสบ) ไม่ถือเป็นความผิดปกติ หรือภาวะภูมิคุ้มกันต่ำแต่อย่างใด

ปัจจัยที่ทำให้เด็กติดเชื้อได้ง่าย:

  • ระบบภูมิคุ้มกันยังไม่สมบูรณ์: ร่างกายของเด็กยังพัฒนาภูมิคุ้มกันได้ไม่เต็มประสิทธิภาพเทียบเท่าผู้ใหญ่
  • ประสบการณ์รับเชื้อยังน้อย: ร่างกายเด็กเปรียบเสมือน "ผ้าขาว" ที่ยังไม่เคยสัมผัสเชื้อโรคมาก่อน (ต่างจากผู้ใหญ่ที่มีภูมิต้านทานจากประสบการณ์เดิม) ทำให้เมื่อได้รับเชื้อครั้งแรกจึงแสดงอาการได้ง่าย
  • พฤติกรรมทางสังคม: การอยู่รวมกลุ่มในโรงเรียนหรือสนามเด็กเล่น การขาดสุขอนามัยส่วนบุคคล (เช่น การไม่สวมหน้ากากอนามัย หรือการใช้ของเล่นร่วมกัน) ทำให้เกิดการติดเชื้อซ้ำซ้อน หรือติดเชื้อหลายชนิดพร้อมกันได้

ข้อควรระวัง: แม้การป่วยบ่อยจะเป็นเรื่องปกติ แต่หากมีความถี่ที่มากผิดปกติ หรือรุนแรง อาจเป็นสัญญาณของ โรคภูมิคุ้มกันบกพร่องแต่กำเนิด ซึ่งเป็นภาวะที่พบได้น้อยและต้องได้รับการวินิจฉัยจากแพทย์

2. โภชนาการกับการเสริมภูมิคุ้มกัน

อาหารหลักสำคัญกว่าอาหารเสริม ปัจจุบันยังไม่มีงานวิจัยที่ยืนยันแน่ชัดว่าอาหารเสริมในท้องตลาดสามารถกระตุ้นภูมิคุ้มกันในเด็กได้อย่างมีนัยสำคัญ การวัดผลภูมิคุ้มกันเป็นเรื่องซับซ้อนที่ต้องอาศัยผลทางห้องปฏิบัติการ

สารอาหารที่จำเป็น:

  • ธาตุเหล็ก: เป็นสารอาหารที่แพทย์ให้ความสำคัญและมีงานวิจัยรองรับ เนื่องจากเด็กไทยจำนวนมากประสบภาวะขาดธาตุเหล็ก ซึ่งส่งผลต่อพัฒนาการและสุขภาพ
  • กรณีเด็กไม่ทานผัก: การไม่ทานผักเพียงอย่างเดียว ไม่ได้หมายความว่าภูมิคุ้มกันจะบกพร่อง หากเด็กยังได้รับวิตามินจากแหล่งอื่น เช่น เนื้อสัตว์ ถั่ว และผลไม้ อย่างไรก็ตาม ควรฝึกให้เด็กทานผักเพื่อประโยชน์ระยะยาว

3. มารู้จักโรคติดเชื้อทางเดินหายใจที่ต้องเฝ้าระวัง

A. เชื้อไวรัส RSV (Respiratory Syncytial Virus)

เป็นเชื้อก่อโรคในทางเดินหายใจที่มีความรุนแรงมากกว่าไข้หวัดธรรมดา โดยเฉพาะในเด็กอายุต่ำกว่า 2 ปี

  • กลไกของโรค: เชื้อจะทำลายเซลล์เยื่อบุทางเดินหายใจ ทำให้เกิดการตายของเซลล์และกลายเป็นเสมหะเหนียวข้นจำนวนมาก เข้าอุดกั้นหลอดลมฝอย ส่งผลให้เด็กหายใจลำบาก หอบเหนื่อย
  • การรักษา: ปัจจุบัน ไม่มียาฆ่าเชื้อจำเพาะ การรักษาเป็นแบบประคับประคองตามอาการ ใช้เวลาฟื้นตัวประมาณ 2 สัปดาห์
  • การป้องกัน:
    • เน้นสุขอนามัย ล้างมือบ่อยๆ หลีกเลี่ยงการสัมผัสใกล้ชิดหรือหอมแก้มเด็กเล็ก
    • ปัจจุบันมีนวัตกรรม ภูมิคุ้มกันสำเร็จรูป (Passive Immunity) สำหรับเด็ก และ วัคซีนสำหรับมารดาขณะตั้งครรภ์ เพื่อส่งต่อภูมิคุ้มกันสู่ทารก

B. เชื้อไมโคพลาสมา (Mycoplasma) และภาวะปอดอักเสบ

เป็นเชื้อแบคทีเรียที่ก่อให้เกิดอาการทางเดินหายใจที่น่ากังวล:

  • อาการ: มักมาในรูปแบบ "ปอดอักเสบเดินได้" (Walking Pneumonia) คือเด็กอาจดูร่าเริง เล่นได้ มีไข้ต่ำๆ แต่มีอาการไอเรื้อรังเกิน 1 สัปดาห์
  • ความเสี่ยง: หากเอกซเรย์ปอดอาจพบฝ้าขาว ซึ่งบ่งชี้ถึงการติดเชื้อที่รุนแรง และอาจมีอาการแทรกซ้อนนอกปอด เช่น ผื่นขึ้น หรือกล้ามเนื้อหัวใจอักเสบ
  • ปัญหาเชื้อดื้อยา: ในประเทศไทยพบเชื้อ Mycoplasma ดื้อยาปฏิชีวนะกลุ่ม Macrolides (เช่น Erythromycin) สูงถึง 20-30% ทำให้การรักษายากขึ้น และต้องใช้ยาปฏิชีวนะที่จำเพาะเจาะจง

ข้อแนะนำทิ้งท้าย: หากบุตรหลานมีอาการไอเรื้อรัง หายใจหอบเหนื่อย หรือมีไข้สูงติดต่อกันนาน ควรรรีบพาไปพบแพทย์เพื่อตรวจวินิจฉัยแยกโรคให้ชัดเจนว่าเป็น RSV, Mycoplasma หรือไข้หวัดใหญ่ เพื่อการรักษาที่ตรงจุดครับ

C. เชื้อไวรัสไข้หวัดใหญ่ (Influenza Virus)

หลายท่านมักเข้าใจผิดว่า "ไข้หวัดใหญ่" คือไข้หวัดธรรมดาที่เป็นหนัก แต่ในความเป็นจริงแล้ว ไข้หวัดใหญ่เป็นคนละโรคกับไข้หวัดธรรมดา และมีอันตรายที่รุนแรงกว่ามาก

  • ไข้หวัดใหญ่ ไม่ใช่ไข้หวัดธรรมดาที่เป็นรุนแรงขึ้น แต่เป็นคนละโรค และมีความอันตรายมากกว่า
  • อาการเกิดแบบเฉียบพลัน มีไข้สูงทันที 39–40°C ร่วมกับอาการปวดเมื่อย ปวดศีรษะ อ่อนเพลีย และเบื่ออาหาร
  • เด็กเล็กอาจแสดงอาการงอแงมากจากอาการปวดเมื่อย

ภาวะแทรกซ้อนที่รุนแรง

  • ปอดอักเสบ ทำให้หอบเหนื่อย
  • ภาวะทางระบบประสาท เช่น สมองอักเสบ หรือชักจากไข้สูง
  • กล้ามเนื้อหัวใจอักเสบ ซึ่งอาจอันตรายถึงชีวิต

การรักษา

  • ไข้หวัดใหญ่ มียาต้านไวรัส (เช่น Oseltamivir)
  • ยาได้ผลดีที่สุดเมื่อให้ ภายใน 48 ชั่วโมงแรก หลังเริ่มมีอาการ จึงควรรีบพบแพทย์เพื่อตรวจยืนยัน

การป้องกัน

  • การฉีดวัคซีนไข้หวัดใหญ่ ปีละ 1 ครั้ง เป็นวิธีป้องกันที่สำคัญที่สุด
  • กลุ่มเสี่ยง ได้แก่ เด็กอายุต่ำกว่า 2 ปี ผู้สูงอายุ และผู้มีโรคประจำตัว ควรได้รับวัคซีนอย่างสม่ำเสมอ

4. วัคซีน: กลยุทธ์การป้องกันที่มีประสิทธิภาพสูงสุด

การรับวัคซีนถือเป็นเกราะป้องกันที่ดีที่สุด (Gold Standard) เนื่องจากผ่านการวิจัยความปลอดภัยและประสิทธิผลมาแล้ว ช่วยสร้างภูมิคุ้มกันให้เด็กก่อนเข้าสู่สังคมโรงเรียน

วัคซีนที่แนะนำเป็นพิเศษในกลุ่มติดเชื้อทางเดินหายใจ:

  1. วัคซีนไข้หวัดใหญ่ (Influenza): สามารถให้ได้ในเด็กอายุ 6 เดือนขึ้นไป ปีละ 1 ครั้ง (ในเด็กที่อายุน้อยกว่า 9 ปี ในปีแรก จะต้องได้รับ 2 ครั้งห่างกัน 4 สัปดาห์) เพื่อป้องกันภาวะแทรกซ้อนรุนแรง เช่น สมองอักเสบ หรือหัวใจอักเสบ มี 2 รูปแบบ
    1. แบบพ่นจมูก : ใช้ในกลุ่มอายุ 2-49 ปี
    2. แบบฉีด : ใช้ได้ในเด็กอายุมากกว่า 6 เดือน
  2. วัคซีนและภูมิคุ้มกันสำเร็จรูปป้องกันการติดเชื้อRSV: สามารถลดความเสี่ยงของการติดเชื้อได้ 79.5% ลดความเสี่ยงของการนอนรพ. 83.2% และลดความรุนแรงในการใส่ท่อช่วยหายใจ 75.3% 
    1. วัคซีนฉีดในหญิงตั้งครรภ์เมื่ออายุครรภ์ 24-36 สัปดาห์ ทารกจะได้รับภูมิคุ้มกันที่ส่งต่อจากมารดา
    2. ภูมิคุ้มกันสำเร็จรูปฉีดในเด็กแรกคลอด จนถึงอายุ 2 ปี ฉีด1ครั้งมีภูมิคุ้มกันประมาณ 5 เดือน
  3. วัคซีนปอดอักเสบIPD (Invasive pneumococcal diseased): โรคปอดอักเสบติดเชื้อรุนแรงที่เกิดจากเขื้อแบคทีเรีย “นิวโมคอคคอล” นอกจากนั้นยังมีความรุนแรงติดเชื้อในกระแสเลือด เยื่อหุ้มสมองอักเสบ หูชั้นกลางอักเสบ อาการรุนแรงในเด็กอายุน้อยกว่า 2 ปี สามารถฉีดได้ในเด็กอายุตั้งแต่ 2 เดือน


ศูนย์การรักษาที่เกี่ยวข้อง

แผนกกุมารเวช

สถานที่

ชั้น 1 โรงพยาบาลพริ้นซ์ ลำพูน

เวลาทำการ

08:00 - 20:00 น.

เบอร์ติดต่อ

053-582-888